คงไม่มีใครที่ไม่เคยเผชิญกับปัญหาสิว ตัวการสำคัญที่ทำให้ใครหลายๆ คนว้าวุ่นใจ เพราะเมื่อเป็นแล้วไม่เพียงแต่จะสร้างความรำคาญและความเจ็บปวดเท่านั้น แต่หลังจากที่อาการสิวดีขึ้นแล้วอาจยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้
วันนี้ Blossom Clinic คลินิกรักษาสิว ศาลายา (รวมถึงมีสาขานครปฐม และสาขาสเตเดียมวัน) เป็นคลินิกรักษาสิว ใกล้ฉัน (กรณีตั้งหลักที่มหาวิทยาลัยมหิดล Mahidol University) จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับต้นตอของสิว ว่าแท้จริงแล้วสิวเกิดจากอะไร? มีกี่ประเภท? และรักษาได้อย่างไรบ้าง? บอกเลยว่าบทความนี้จะทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องสิวมากขึ้น จนสามารถป้องกันการเกิดสิว และสามารถรักษาสิวได้อย่างอยู่หมัด!
สิวคืออะไร? เกิดจากอะไร?
สิว (Acne) คือ ความผิดปกติของรูขุมขนและต่อมไขมัน ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นหนังกำพร้าที่ควรจะหลุดออกจากรูขุมขนไปตามธรรมชาตินั้นไม่หลุดออก แต่กลับไปตกค้างอยู่บริเวณรูขุมขน
หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที เซลล์ผิวเหล่านี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นและไปจับตัวกับน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าหรือซีบัม (Sebum) ฝุ่นละออง หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ จนอุดกั้นการลำเลียงของเสียบริเวณรูขุมขน ทำให้ของเสียคั่งค้างอยู่ใต้ผิวและเกิดตุ่มนูนขนาดเล็กบริเวณปากรูขุมขน หรือ “สิว” ขึ้น
1. การเปลี่ยนของฮอร์โมนในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนับเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้น และไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันให้ขยายตัวและผลิตซีบัมออกมามากขึ้น เพิ่มโอกาสให้เซลล์ผิวที่ตายจับตัวกับน้ำมันและเกิดการอุดตันมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่าการมีความเครียดสะสมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ปัญหาผิวแย่ลง เพราะเมื่อเข้าสู่ภาวะเครียดร่างกายจะผลิตฮอร์โมนออกมาหลายชนิด เช่น คอร์ติโซล (Cortisol) ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งมีผลต่อให้ต่อมไขมันขยายตัว ส่วนในผู้ที่มีปัญหาสิวอยู่ก่อนแล้ว ความเครียดก็จะทำให้ปัญหาสิวแย่ลง
สิวฮอร์โมนมักจะเกิดในระยะเวลาเดิมซ้ำๆ โดยสอดคล้องกับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ประจำเดือน หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งนอกจากสิวชนิดนี้จะเป็นปัญหาผิวแล้ว ยังเป็นการสื่ออีกนัยจากร่างกายด้วยว่าเราควรที่จะรีบดูแลสุขภาพเพราะมีระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล
2. พันธุกรรม
นอกจากพันธุกรรมจะเป็นตัวกำหนดลักษณะภายนอกอย่างลักษณะเส้นผม ชั้นตา สีตา ให้เรามีลักษณะคล้ายกับคุณพ่อคุณแม่ของเราแล้ว การควบคุมการทำงานของต่อมไขมันก็เป็นสิ่งที่เราได้รับการส่งต่อมาทางพันธุกรรมเช่นกัน
ในบางรายอาจได้รับยีนที่มีเกี่ยวกับการสังเคราะห์น้ำมันที่ผิดปกติ ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปจนทำให้เกิดสิว รวมถึงในบางรายอาจได้รับยีนควบคุมการอักเสบที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดอาการอักเสบที่ผิวง่าย ผู้ที่ได้รับยีนชนิดนี้จึงมีโอกาสที่จะเกิดสิวอักเสบได้ง่ายและรุนแรงกว่าคนอื่นๆ
3. มลภาวะ
ในอากาศประกอบไปด้วยสารเคมีหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น PAHs (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) PM (Particulate Matter) O3 (Ozone) และควันบุหรี่ หากเกราะป้องกันผิวไม่แข็งแรงเมื่อใดก็ตามที่ผิวเผชิญกับสารเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของน้ำมันบนผิว (Squalene Oxidation) และเกิดเป็นสิวอุดตัน
ไม่เพียงเท่านั้นฝุ่นและแสงแดดยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระใต้ผิว เมื่อเกิดสารอนุมูลอิสระบ่อยๆ เข้า ผิวจะเสื่อมสภาพและง่ายต่อการอักเสบ ในผู้ที่มีสิวอยู่มีสิวเห่อมากขึ้น
4. พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารจำพวกแป้ง ไขมัน น้ำตาลมากเกินไป จะทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งผลกระทบจากการที่อินซูลินถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก คือ อินซูลินจะกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้นไปตามด้วย ทำให้ง่ายต่อการดูดซับแบคทีเรียและเกิดสิวอุดตัน
รวมถึงการรับประทานอาหารจำพวกนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบได้ นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่เพิ่มโอกาสในการเกิดสิว เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม อาหารทะเลบางชนิด และเครื่องดื่มคาเฟอีน อย่างกาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
5. เครื่องสำอาง
การเลือกใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวอาจทำให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวมัน หากเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นฐานน้ำมัน (Oil-Based) อาจทำให้ผิวหน้าสะสมความมันมากขึ้นและนำมาสู่การเกิดสิวอุดตัน หากต้องการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมัน
6. การใช้ยาบางชนิด
การใช้ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดสิวได้ เช่น ยาต้านโรคซึมเศร้า (Antidepressants) ยากันชัก (Antiepileptics) และยาสเตียรอยด์ (Steroid) เนื่องจากยาเหล่านี้จะกระตุ้นฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ทำให้ต่อมไขมันขยายตัวและผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
นอกจากนี้การรับประทานยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่องถึงแม้จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเกิดสิว แต่ก็อาจทำให้จุลินทรีย์ในลำไส้เสียหาย ระดับฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ และแบคทีเรียดีบนผิวหนังถูกทำลายนำไปสู่การอักเสบและเกิดสิวได้
สิวมีกี่ประเภท?
สิวมีหลายชนิด โดยสามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้
1. สิวไม่อักเสบ
สิวไม่อักเสบสามารถเรียกได้หลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน (Comedones) หรือ สิวไขมัน สิวชนิดนี้เป็นปัญหาสิวพื้นฐานที่นำไปสู่การเกิดปัญหาสิวอื่นๆ เกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว สิ่งสกปรก และน้ำมันส่วนเกิน จนเกิดเป็นถุงซีสต์ขนาดเล็กใต้ผิว
สิวอุดตันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
- สิวอุดตันหัวเปิด (Open Comedone) หรือ สิวอุดตันหัวดำ (Blackheads) สิวชนิดนี้สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นสิวที่จะเกิดขึ้นบนชั้นผิวตื้นๆ และบนหัวสิวจะมีสีดำอยู่บริเวณกึ่งกลาง เกิดจากสารเมลานินของเซลล์ผิวหนังทำปฏิกิริยากับอากาศจนบริเวณหัวสิวกลายเป็นสีดำ
- สิวอุดตันหัวปิด (Closed Comedone) หรือสิวอุดตันหัวขาว (Whiteheads) สิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวขนาดเล็ก สามารถสังเกตเห็นได้ยาก หากรบกวนผิวบริเวณนั้นบ่อยๆ อาจนำไปสู่การระคายเคือง และพัฒนาไปสู่การเป็นสิวอักเสบได้
2. สิวอักเสบ
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) นับเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง มักเกิดจากการที่เป็นสิวอุดตันอยู่ก่อน แล้วผิวบริเวณนั้นถูกเชื้อแบคทีเรีย P.acnes เข้าไปเจือปนอยู่ในรูขุมขน
เมื่อร่างกายทราบว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามส่งเม็ดเลือดขาวไปฆ่าเชื้อโรค ทำให้บริเวณนั้นระคายเคืองและเกิดการอักเสบ จนเกิดตุ่มหนองที่มีอาการบวมแดงและกดเจ็บขึ้น
สิวอักเสบหากแบ่งตามลักษณะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
- สิวอักเสบไม่มีหัว ในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงอาจสังเกตเห็นสิวชนิดนี้ได้ยาก เพราะลักษณะจะเหมือนกับผิวทั่วไปแต่มีความนูนสูงขึ้นกว่าปกติ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ หากรบกวนผิวบริเวณนั้นบ่อยๆ พยายามกด บีบ เค้น อาจทำให้สิวบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ และบวมมากขึ้น
- สิวอักเสบมีหัว สิวชนิดนี้จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาผิว โดยจะเริ่มจากเป็นสิวตุ่มแดง (Papules) ขนาดเล็ก หากอาการไม่ดีขึ้นอาจทำให้สิวมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีการสะสมของหนองใต้ผิวเป็นจำนวนมาก และสร้างความเจ็บปวดให้ผิวได้แม้ไม่ใช้มือสัมผัส
ส่วนผดหรือที่หลายคนเรียกว่า “สิวผด” จริงๆ แล้วไม่ใช่สิวแต่เป็นอาการแพ้ของผิวหนัง ทำให้เกิดตุ่มนูนเล็กๆ ไม่มีหัวขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยมักจะเกิดจากสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้น ทำให้ต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อออกมาได้ ต่อมเหงื่อจึงอุดตันจนเกิดตุ่มนูนขึ้น
บริเวณที่มักเกิดสิว
สิวสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย แต่มักจะเกิดบนใบหน้ามากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณทีโซน (T-zone) เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีการสร้างและขับน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าบริเวณอื่นๆ โดยสิวแต่ละบริเวณมีสาเหตุการเกิดที่ต่างกัน ดังนี้
- ผิวที่หน้าผาก เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่สิวมักจะขึ้นเป็นลำดับแรกๆ เนื่องจากมีการขับน้ำมันออกมามากกว่าบริเวณอื่นๆ รวมทั้งเป็นบริเวณที่มีการสะสมของเหงื่อและแบคทีเรีย ส่งผลให้สิวขึ้นหน้าผากได้ง่าย
- สิวที่จมูก เป็นอีกหนึ่งบริเวณของทีโซน ปัญหาผิวที่มักเกิดในบริเวณนี้ คือ สิวอุดตันหัวเปิด และสิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) ซึ่งไม่ใช่สิว แต่เป็นการอุดตันของไขมันและเส้นขน ทำให้มีลักษณะเป็นจุดดำเล็กๆ หรือมีหนามแหลมยื่นออกมาทางรูขุมขนจำนวนมาก
- สิวที่แก้ม มักเกิดจากการล้างหน้าไม่สะอาดเป็นหลัก และการสัมผัสกับสิ่งของที่มีการสะสมของเชื้อโรค เช่น หมอน เส้นผม และโทรศัพท์มือถือ
- สิวที่รอบปาก ก็มักเกิดจากการล้างหน้าไม่สะอาดเช่นกัน โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหากไม่ทำความสะอาดรอบริมฝีปากให้ดี บริเวณนั้นก็จะสะสมของคราบมันและแบคทีเรียจนเกิดสิวขึ้นได้
- สิวที่คาง นอกจากคางจะเป็นเวลาที่มีการขับน้ำมันออกมามากกว่าบริเวณอื่นๆ แล้ว คางยังเป็นบริเวณที่เรามักจะเอาไปมือสัมผัส อย่างการเท้าคาง รวมทั้งการสวมหน้ากากอนามัยอาจทำให้ผิวเกิดการเสียดสีอยู่ตลอดเวลา ง่ายต่อการสะสมแบคทีเรียและเกิดการอักเสบ ทำให้สิวขึ้นคาง
นอกจากนี้ ยังมีสิวอักเสบที่สามารถเกิดได้แทบทุกเวณของร่างกาย เช่น บริเวณใบหน้า โพรงจมูก หู ลำคอ หน้าอก ไปจนถึงแผ่นหลัง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดสิวอักเสบในบริเวณเดิมได้อีก
วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง
วิธีการรักษาสิวที่เห็นผลดีที่สุด คือ การทำความเข้าใจและรักษาสิวตามอาการของตนเอง เพราะสิวแต่ละชนิดมีวิธีการรักษาที่ต่างกัน อย่างไรก็ตามทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบก็มีกระบวนการรักษาที่คล้ายกัน โดยเน้นไปที่การลดการสะสมของน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า และผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก สามารถทำได้ด้วย 2 วิธีหลัก คือ
1. การรักษาด้วยยาใช้ภายนอก
การรักษาด้วยยาใช้ภายนอกเป็นวิธีที่ง่ายและให้ผลลัพธ์ที่ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวที่มีความรุนแรงไม่มากนัก โดยยาใช้ภายนอกที่มักนำมาใช้ในการรักษาสิว ได้แก่
- ยากลุ่มเบนโซลอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) มีคุณสมบัติในการลดจำนวนแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดปริมาณไขมันบนผิวหนัง เหมาะสำหรับทั้งผู้ที่เป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบ
- ยาที่มีส่วนผสมของกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) สามารถลดการอุดตันของรูขุมขน และบรรเทาอาการอักเสบของสิวได้ ส่วนในผู้ที่รักษาสิวจนหายแล้ว ยาตัวนี้ก็ยังสามารถช่วยในการลดรอยสิวได้อีกด้วย
- ยากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ มีคุณสมบัติสำคัญในการลดการอุดตันของรูขุมขน ใช้ได้กับสิวในทุกระยะ แต่การใช้อย่างต่อเนื่องอาจทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดได้
ถึงแม้วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายเพราะสามารถหาซื้อตัวยาได้เอง แต่การใช้ยาก็ยังควรจะอยู่ภายใต้คำแนะนำของหมอรักษาสิว แพทย์ผิวหนัง และเภสัชกร เพราะการใช้ยาที่มีความเข้มข้นมากเกินไปหรือไม่เหมาะกับสภาพผิวอาจทำให้สิวมีอาการรุนแรงขึ้นได้
2. การรับประทานยารักษาสิว
หากเป็นสิวอุดตันเพียงอย่างเดียว การรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่เหมาะนัก เนื่องจากการใช้ยาแบบรับประทานสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เภสัชกรจึงมักจะจ่ายยาให้กับผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันร่วมกับสิวอักเสบ รวมทั้งสิวอักเสบจะต้องมีความรุนแรงในระดับปานกลางไปจนถึงระดับรุนแรง
โดยยาที่มักนำมาใช้ในการรักษาสิวอักเสบ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- ยาต้านจุลชีพหรือยาฆ่าเชื้อ ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและยังป้องกันการเกิดสิวอุดตันได้อีกด้วย
- ยาฮอร์โมนหรือยาคุมกำเนิด ยากลุ่มนี้จะเข้าไปลดการผลิตของฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาได้ลดลง แต่อาจต้องใช้ต่อเนื่องหลายเดือนจึงจะเห็นผล
- ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น ยา Acnotic , ยาไอโสเตรตินอย (Isotretinoin) เป็นยาที่เหมาะกับสิวอักเสบรุนแรงและเรื้อรัง มีคุณสมบัติในการลดการสะสมของแบคทีเรียและการอักเสบได้ดี แต่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์เพราะตัวยามีพิษต่อตัวอ่อนในครรภ์
วิธีรักษาสิวอย่างเร่งด่วน
สิวเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง หากการรักษาด้วยตนเองไม่เห็นผล การเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินผิวและแนะนำวิธีการรักษาสิวอาจเหมาะสมกว่า เพราะการรักษาอย่างผิดวิธีอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดปัญหาผิวที่รุนแรงและยากที่จะรักษาได้ในอนาคต
ที่ Blossom Clinic คลินิกรักษาสิว ศาลายา มีหัตถการที่คนเป็นสิวไม่ควรพลาด ได้แก่
1. ทรีตเมนต์ผิวหน้า
การทรีตเมนต์ผิวหน้า (Facial Treatment) คือ กระบวนการดูแล รักษาผิวหน้าด้วยวิธีต่างๆ รวมกันอยู่หลายขั้นตอน หรือจะประกอบไปด้วยขั้นตอนเดียวก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการทำ ข้อดีของการทรีตเมนต์ผิวหน้า คือ แก้ปัญหาผิวอย่างล้ำลึก ช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ที่ Blossom Clinic คลินิกรักษาสิว ศาลายา เรามีโปรแกรม
- Acne Clear ทรีตเมนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสิวโดยเฉพาะ มีการใช้วิตามินและตัวยาที่มีประโยชน์หลายชนิด เข้ามาควบคุมและยับยั้งการเกิดสิวจากต้นเหตุ ร่วมกับการกดสิวเพื่อกำจัดสิวอุดตัน โปรแกรมนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันและสิวอักเสบ รวมถึงผู้ที่มีรอยดำจากสิวและผิวแพ้ง่ายก็สามารถเข้ารับบริการได้
ACNE CLEAR (สิว)
ทรีตเมนต์รักษาสิว ด้วยวิตามิน ยับยั้งสิวจากต้นเหตุ
- Customized Treatment การรักษาสิวด้วยเทคนิคเฉพาะของ Blossom Clinic มีสูตรทรีตเมนต์ที่รับรองทุกสภาพผิว เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล เทคนิคนี้จะเป็นการบำรุงฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกถึง 7 ขั้นตอน ช่วยรักษาสิว ผดและผื่น ลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น เผยผิวกระจ่างใส โปรแกรมนี้มี 4 สูตร เหมาะกับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย หรือผิวขาดการบำรุงจนหมองคล้ำไม่กระจ่างใส
- สูตรสำหรับคนหน้ามัน สิวบุก (Oily Skin & Fight Acne Solution)
- สูตรสำหรับคนผิวแห้ง ย้อนเวลาให้ผิว (Dry & Aging Resistance)
- สูตรสำหรับคนผิวแพ้ง่าย ต้องดูแลเป็นพิเศษ (Sensitive Caring)
- สูตรสำหรับคนผิวหมองคล้ำ คืนความขาวใสออร่า (Brighter than Ever)
Customized Skin Treatment
Treatment หน้าใส กู้ผิวพังให้ปังกว่าที่เคย
- Acne Light Therapy (ALT) ทรีตเมนต์รักษาสิว ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยกำจัดสิวเท่านั้น แต่ยังเน้นไปที่รักษาสิวจากต้นเหตุ และป้องกันโอกาสการเกิดสิวใหม่ ทำได้โดยการใช้ตัวยาและทรีตเมนต์สูตรเฉพาะ กดสิวอุดตันทั้งหมดออก ก่อนฉายแสง LED สีต่างๆ ที่เหมาะกับสภาพผิว และจบด้วยการทาครีมบำรุงสูตรอ่อนโยน หลังทำผู้รับบริการจะรู้สึกได้ว่าผิวสะอาดขึ้น สิวยุบตัวและอาการอักเสบดีขึ้น หากรับบริการอย่างต่อเนื่องก็จะยิ่งทำให้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน
Acne Light Therapy
รักษาสิวที่ถูกวิธี และ ได้มาตรฐาน
2. Made Collagen
Made Collagen เป็นโปรแกรมบำบัดเซลล์ผิว ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ เป็นสิว แพ้ง่าย ให้กลับมามีผิวสวยสตรอง ด้วยการเติมสารสกัดจากธรรมชาติ ประกอบด้วยวิตามินรวม คอลลาเจนเข้มข้น แร่ธาตุเอนไซม์ และพลาสเซนต้า มีความปลอดภัยสูง ผ่านเทคนิคการฉีด 16 จุดทั่วใบหน้า ช่วยสร้างเกราะกำบัง ปรับสมดุลผิวให้แข็งแรง และช่วยยับยั้งการเกิดสิว ลดสิว ลดผดผื่น ลดผิวอักเสบ แพ้ง่ายได้เป็นอย่างดี
โปรแกรม กู้ผิวหน้า เด้งใส
Rejuran vs Made Collagen vs Belotero vs Sculptra เลือกยังไง? ให้เหมาะกับผิว
3. Pico Laser เลเซอร์รักษารอยสิว
Pico Laser เป็นเลเซอร์คุณภาพสูง ปลอดภัย ไม่ทำร้ายผิว ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก US FDA ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า Picosecond สามารถปล่อยพลังงานเลเซอร์ความถี่สูงด้วยความเร็วในระดับ 1 ต่อล้านล้านวินาที ช่วยกำจัดเม็ดสีใต้ชั้นผิวหนังอย่างละเอียดมากกว่าเทคโนโลยีรุ่นอื่น และไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง ด้วยหัวเลเซอร์ที่ให้ประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งโหมดการใช้งาน Pico Toning จะเหมาะกับการใช้เลเซอร์ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิวหรือเม็ดสีที่มีความผิดปกติ Pico Laser มีความแม่นยำ ให้พลังงานสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย และยังไม่สร้างสะเก็ดแผลไว้บนผิวหนังอีกด้วย
Pico Laser คืออะไร
ทำไมถึงยอดนิยม?
คลินิกรักษาสิว ศาลายาที่ไหนดี?
หากคุณเป็นหนึ่งที่กำลังตามหาคลินิกรักษาสิว ศาลายา ให้ Blossom Clinic คลินิกรักษาสิว ศาลายา เป็นหนึ่งในทางเลือก เราให้บริการด้วยเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน มีให้เลือกใช้หลายโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็นการทำทรีตเมนต์ การฉีดเมโสรีจูรันเพื่อรักษาสิว รวมไปถึงในผู้ที่มีปัญหารอยสิวยังสามารถเลือกแก้ปัญหาได้ด้วยโปรแกรม Dual Pro Laser & V-IPL จัดการทั้งรอยดำ รอยแดงสิว และ Acne Laser รักษาสิวด้วยการกำจัดเชื้อสิว ลดการอักเสบของสิว ทำให้สิวแห้งไว ช่วยหยุดต้นตอการเกิดสิวได้ทุกชนิด
Dual Pro Laser เลเซอร์รอยดำ
V-IPL Laser ลดรอยแดงจากสิว
ทุกเคสเราให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง รวมถึงหมอรักษาสิวที่มีความชำนาญ ทำให้การประเมินผิวและการเลือกวิธีการรักษาเป็นไปได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ
หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกรักษาสิวด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Blossom Clinic เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิว และแนะนำหัตถการที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลได้เลย โดยติดต่อได้ที่ไลน์ @blossomclinic หรือเข้ามาปรึกษาที่คลินิก
ปัจจุบัน Blossom Clinic มี 3 สาขา ได้แก่ สาขาศาลายา ตรงข้าม มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา, สาขานครปฐม บริเวณตรงข้าม มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ และสาขาสเตเดี้ยมวัน เดินทางง่ายใกล้ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ
Blossom Clinic Stadium One บลอสซั้มคลินิก สาขาสเตเดี้ยมวัน
- Call: 02-460-9210 กด 2
- Map: https://goo.gl/maps/SPyRJbpCxfH5NtUr9
Blossom Clinic Nakhonpathom บลอสซั้มคลินิก สาขานครปฐม (คลินิก นครปฐม)
- Call: 02-460-9210 กด 3
- Map: https://maps.app.goo.gl/kWuqGp4mthi12E657
Blossom Clinic Salaya บลอสซั้มคลินิก สาขาศาลายา (คลินิก ศาลายา)
- Call: 02-460-9210 กด 4
- Map: https://goo.gl/maps/bUw5df2g9oASZQk76